ในสมัยราชวงศ์หมิงมีปัญญาชนผู้หนึ่งนามเหมยจือฮ่วน มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาเดินทางไปยังหาดหินไฉ่ซึเพื่อคารวะสุสานของมหากวีหลี่ไป๋แห่งราชวงศ์ถัง เขาพบว่า
ในยุคสมัยชุนชิว กษัตริย์หลู่จาวกงแห่งรัฐหลู่ถูกขับออกจากรัฐได้ไปลี้ภัยที่รัฐฉี กษัตริย์ฉีจิ่งกงแห่งรัฐฉีทรงถามกษัตริย์หลู่จาวกงว่า “ท่านกำลังอยู่ในวัยหนุ่ม เหตุไฉนจึงได้เสียตำแหน่งกษัตริย์ไป เป็นเพราะเหตุอันใดหรือ?”……
ในยุคปลายสมัยราชวงศ์หยวน มีขุนนางผู้ใหญ่ผู้หนึ่งนามเช่อหลี่เถี่ยมู่เอ่อร์ เขาได้มองเห็นข้อบกพร่องมากมายในพิธีสอบคัดเลือกเข้าเป็นขุนนางซึ่งเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์สุยถาง โดยผู้ที่สอบได้นั้นมีความรู้ความสามารถที่แท้จริงไม่มาก
มีอยู่ครั้งหนึ่ง กงซุนโฉ่วลูกศิษย์ของเมิ่งจื้อถามเมิ่งจื้อว่า “ท่านอาจารย์ หากท่านได้บริหารราชการแผ่นดินในรัฐฉี ท่านสามารถสร้างคุณงามความดีอย่างเช่นก่วนจ้งและเอี้ยนอิงหรือไม่?”
ในสมัยราชวงศ์ซ้องใต้ มีชายผู้หนึ่งนามเฉาหย่ง เนื่องจากมีความสัมพันธ์อัน ใกล้ชิดกับฉินฮุ่ยผู้เป็นอัครเสนาบดี เขาจึงได้ดำรงตำแหน่งขุนนางชั้นสูง คนจำนวนมากใน หมู่บ้านของเขาพากันมาเข้าหาและประจบประแจงเฉาหย่ง
ในสมัยราชวงศ์จิ้น มีกระทาชายหนึ่งนามจีเส้า เป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางองอาจ ผึ่งผายเป็นที่น่าเกรงขามแก่บุคคลทั่วไป ระหว่างที่จักรพรรดิ์ฮุ่ยตี้ครองอำนาจนั้น จีเส้าเป็นทหาร
ภาษาจีนเป็นภาษาที่สละสลวยภาษาหนึ่งในโลก ภาษาจีีนอุดมไป ด้วยศัพท์ โวหาร และสำนวน ซึ่งสามารถสื่อถึงความรู้สึกอย่างมีชีวิต จิตใจ เปรียบประหนึ่งอุทยานที่เบ่งบานไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ และ สำนวนก็คือบุปผาช่องามในอุทยานนี้