thai

ใครคือ “ลอร์ดโวลเดอมอร์” ผู้ทำลายระเบียบระหว่างประเทศ

cri2022-04-19 13:50:49

การจุดไฟสงครามก่อความวุ่นวายในทั่วโลก และใช้อำนาจความเป็นเจ้าทางการเงินและเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการคว่ำบาตรคู่แข่ง การจับกลุ่มสร้างพันธมิตรเพื่อทำให้คู่แข่งตกอยู่ในสภาพความโดดเดี่ยวทางการเมืองแบบที่สหรัฐฯใช้ต่อรัสเซียนั้น ทำให้ผู้คนเห็นได้ชัดถึงกลวิธีก่อการปะทะและทำลายกฎระเบียบสากล ซึ่งบีบีซีเคยใช้คำว่า “ลอร์ดโวลเดอมอร์” มาเปรียบเทียบถึง “นายทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ” และเมื่อผู้คนเห็นถึงภาพการใช้อำนาจบาตรใหญ่ การจับกลุ่มหาพวก และใช้กำลังรุนแรงอย่างพร่ำเพรื่อ พยายามโจมตีคู่แข่งให้ตายเพื่อครองความเป็นเจ้าโลก ล้วนสามารถเห็นได้จากภาพสะท้อนกระจกในพฤติกรรมต่างๆของสหรัฐฯ ที่ชอบใช้วิธีการควบคุมทางการเมืองที่แฝงความชั่วร้ายแบบ "ศาสตร์มืด"

ผู้คนทั่วไปสามารถเห็นได้ชัดว่า เบื้องหลังของการปะทะระหว่างรัสเซียกับยูเครนนั้น มีสหรัฐฯใช้วิธีควบคุมทางการเมืองลักษณะมายาศาสตร์มืดอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ส่งเสริมให้นาโตขยายไปสู่ตะวันออก บีบช่องว่างความมั่นคงของรัสเซียให้น้อยลงเรื่อยๆ จนทำให้รัสเซียกับยูเครนต้องสู้รบกันในท้ายที่สุด แล้วใช้โอกาสการปะทะครั้งนี้รวมกลุ่มพันธมิตรอีกครั้ง เพื่อดำเนินนโยบายคว่ำบาตรรอบด้านต่อรัสเซีย ขัดขวางการเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครน เสนออาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับยูเครนอย่างไม่ขาดสาย โดยมีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว คือ ทำให้กองไฟแห่งสงครามร้อนยิ่งขึ้น “การใช้ความพยายามร่วมกัน” ของสหรัฐฯ และพันธมิตรได้ผลที่ตามมาคือ นำภัยพิบัติให้กับทั้งรัสเซียและยูเครน และทำให้ยุทธศาสตร์ของสหภาพยุโรปที่หวังจะเป็นตัวของตนเองนั้นต้องสิ้นสุดลง ส่วนสหรัฐฯได้รับผลประโยชน์เป็นเพียงเจ้าเดียว

ประวัติศาสตร์สหรัฐฯเพียงกว่า 240 ปี มีเวลาไม่ทำสงครามรวมแล้วไม่เกิน 20 ปีเท่านั้น และสงครามที่สหรัฐฯก่อขึ้นนั้น มิเพียงแต่เป็นสงครามสู้รบทั่วไปเท่านั้น แต่ยังมีสงครามเศรษฐกิจรวมไว้ด้วย ซึ่งการคว่ำบาตรเปรียบเป็นปืนใหญ่และเรือรบสำคัญของกรุงวอชิงตัน

องค์การการค้าระหว่างประเทศ (WTO) ประกาศรายงานแสดงให้เห็นว่า การกระทำที่ผิดข้อกำหนดหรือกติกาจำนวนตามสัดส่วน 2 ใน 3 ขององค์การนี้เกิดขึ้นจากสหรัฐฯ กรุงวอชิงตันกลายเป็น “ผู้ที่ไม่รักษากฎระเบียบ” รายใหญ่ที่สุดของโลกจากการตัดสินขององค์การการค้าโลก

ลัทธิครองความเป็นเจ้าทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ได้ทำลายระเบียบทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง และถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจของโลก

Close
Messenger Pinterest LinkedIn