บทวิเคราะห์: การเจรจาสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนบรรลุผลเชิงบวก "เครื่องยนต์สงคราม" แบรนด์สหรัฐฯควรหยุดได้แล้ว
วันที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา การเจรจารอบที่ 5 ระหว่างรัสเซียกับยูเครนเสร็จสิ้นที่ตุรกี
โดยการเจรจาครั้งนี้มีผลคืบหน้าสำคัญไม่น้อย เช่น ยูเครนจะรักษาความเป็นกลางละทิ้งการเข้าร่วมพันธมิตรทางทหารอย่างถาวร ส่วนรัสเซียก็จะไม่คัดค้านให้ยูเครนเข้าร่วมสหภาพยุโรป และคลี่คลายการปะทะกับยูเครนอย่างมีขั้นตอน ขณะเดียวกัน ผู้นำทั้งสองประเทศมีหวังที่จะพบปะกัน ทั้งนี้ หลังผ่านการเจรจา 5 รอบ ผลคืบหน้าเชิงบวกเหล่านี้ได้มาไม่ง่าย แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาที่จะยุติการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย และความพยายามไกล่เกลี่ยของประชาโคมโลก หลังผ่านการปะทะกันทางทหารเป็นเวลากว่า 1 เดือน ทั้งสองประเทศต่างเสียหายใหญ่ ควรกลับสู่หนทางแก้ไขทางการเมืองแล้ว
อนึ่ง ควบคู่ไปกับข่าวที่รัสเซียกับยูเครนมีผลคืบหน้าจากการเจรจา ดัชนีหุ้นหลักของยุโรปและสหรัฐฯโตขึ้นมาก แสดงให้เห็นว่าประชาคมโลกยินดีที่จะเห็นสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนปรับดีขึ้น
แต่ทว่า ในวันเจรจารอบที่ 5 นั้น นายไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้จัดการพบปะทางไกลระหว่างผู้นำอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศสและอิตาลี โดยตกลงที่จะสนับสนุนและช่วยเหลือยูเครนต่อไป ซึ่งรวมถึงจะเสนออาวุธจำนวนจมากขึ้นต่อยูเครนด้วย
ทั้งนี้ ตามท่าทีของรัสเซียและยูเครนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือสองฝ่ายจะเจรจาในปัญหาการประกันความมั่นคงที่ยูเครนสนใจ และปัญหาดินแดนที่รัสเซียให้ความสำคัญ ซึ่งในช่วงเวลาสำคัญนี้ ประเทศที่มีความรับผิดชอบควรให้การสนับสนุนการพูดคุยเจรจาระหว่างรัสเซียกับยูเครนให้ได้ผลดีมีสันติภาพ หากไม่ใช่สร้างอุปสรรคหรือเข้าขัดขวาง การกระทำของสหรัฐฯที่มีต่อรัสเซียนั้นแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า สหรัฐฯต่างหากที่เป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก "เครื่องยนต์สงคราม" แบรนด์สหรัฐฯนี้ควรหยุดทำงานได้แล้ว
Yim/Ldan/Zhou