นักวิชาการไทยเห็นว่า“การแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”ควรเป็นทางเลือกสำหรับจีนกับสหรัฐฯ ในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างกัน
ก่อนการประชุม สหรัฐฯ ได้แสดงข้อกังวลหลายอย่างเกี่ยวกับจีน ได้แก่ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นไปในเชิงบังคับ การละเมิดสิทธิมนุษยชน การปราบปรามผู้ประท้วงในฮ่องกง การอ้างสิทธิ์ครอบครองพื้นที่เหนือทะเลจีนไต้ และการข่มขู่ไต้หวัน
แต่ผู้แทนฝ่ายจีนได้แสดงข้อกังวลเกี่ยวกับสหรัฐฯ เช่นกัน จีนมองว่าจีนและสหรัฐฯ ไม่อาจเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสันติภาพ เสถียรภาพ รวมถึงการพัฒนาต่างๆ ในโลก เพราะจีนและสหรัฐฯ ล้วนเป็นมหาอำนาจที่สามารถส่งผลกระทบต่อประเทศอื่นทั่วโลก ประการถัดมา จีนพร้อมยืนหยัดค่านิยมร่วมโดยเฉพาะเรื่องสันติภาพ การพัฒนา ความยุติธรรม ประชาธิปไตย และเสรีภาพ จีนยึดมั่นระบบสากลที่มีสหประชาชาติเป็นแกนนำ แต่จีนจะไม่ยอมรับระเบียบวาระโดยสหรัฐฯ หรือชาติใดๆ ก็ตามโดยไม่ผ่านมติของสหประชาชาติ จีนยังกล่าวถึงความจำเป็นที่จะปกป้องศักดิ์ศรีของจีนเองโดยจะไม่ยอมรับการใส่ความอย่างที่ปรากฏในข้อกังวลฝ่ายสหรัฐฯ จีนขอความเคารพในเรื่องอธิปไตยของจีนพร้อมกับขอให้เลี่ยงการเป็นปฏิปักษ์ต่อกันดังที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และประธานาธิบดีไบเดนได้เคยลงความเห็นก่อนการประชุมว่าไม่ควรมีความขัดแย้งเรื้อรัง แต่ให้สองฝ่ายหันหน้าเข้าหากันให้มากขึ้น
แม้จะมีความตึงเครียด การประชุมครั้งนี้กลับจบลงด้วยความพึงพอใจ แต่ละฝ่ายแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาและจากกันด้วยความเข้าใจ
หากพิจารณาในภาพรวม จะพบว่าจีนได้ใช้การประชุมเจรจายุทธศาสตร์ฯ สานต่อความมุ่งหมายเกี่ยวกับการสื่อสารตัวตนของจีนมากกว่าจะหวังให้การประชุมช่วยยุติปัญหาอันดำเนินมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ต้องไม่ลืมว่าปฏิบัติการข่าวสารได้กระพือความตึงเครียดของสองฝ่ายมาเป็นระยะเวลาหลายปี ทางจีนต้องตั้งรับการสร้างภาพหลายอย่างจนโลกพร้อมจะมองจีนเป็นผู้คุกคาม อย่างในแถลงการณ์ร่วมสหรัฐฯ–ญี่ปุ่น มีข้อความหลายส่วนใส่ร้ายนโยบายต่างประเทศของจีนและพยายามแทรกแซงกิจการภายในโดยเฉพาะเรื่องไต้หวัน ฮ่องกง เขตซินเจียง ทะเลจีนใต้ และเกาะเตี้ยวหยูว์ จีนจึงต้องการแสดงท่าทีให้โลกเห็นว่าพร้อมแก้ปัญหา แต่ไม่ใช่การแก้ปัญหาในแบบที่ถูกกล่าวหา